เกษตรกรยาสูบภาคเหนือเร่งเสริมความรู้ สู้ความท้าทายภายใต้นโยบายควบคุมยาสูบโลก

ภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการหัวข้อ “เตรียมความพร้อมสู่การประกอบการภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC)” ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบไทยในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบนและพื้นที่ใกล้เคียงประมาณ 100 รายเข้าร่วมการสัมมนา 

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบเกี่ยวกับกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ผลกระทบที่มีต่อเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือและสามารถปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาฯ ข้อกำหนดอื่น รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่อาจมีขึ้นในอนาคต ตลอดจนสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและผลผลิตภายใต้หลักความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการจัดการดิน น้ำ รวมถึงการใช้สารเคมี    เพื่อยกระดับมาตรฐานและความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบของประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นเวทีให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสานความร่วมมือกันในด้านต่างๆ อีกด้วย

นายอัจฉริยะ วัฒนาพร ตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การปลูกใบยาสูบในพื้นที่ภาคเหนือของไทยนั้นเป็นอาชีพที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ยาสูบทำให้ครอบครัวนับหมื่นแสนมีรายได้ที่มั่นคงและเป็นพืชที่ช่วยสร้างรายได้ภาษีให้กับประเทศมหาศาล แต่ปัจจุบันชาวไร่ยาสูบกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยาสูบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราภาษียาสูบที่ซับซ้อนและสูงเกินไปซึ่งส่งผลให้บุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าเติบโตขึ้นมาก สวนทางกับบุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทศไทยที่มียอดขายลดลง ปริมาณและราคารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรจึงลดลงตาม ทั้งนี้รวมถึงผู้ประกอบการและแรงงานในระดับชุมชนตลอดห่วงโซ่การเพาะปลูกและจัดจำหน่ายใบยา เช่น โรงบ่มใบยา และแรงงานตามฤดูกาล เป็นต้น เมื่อการผลิตลดลงก็ส่งผลต่อรายได้ของแรงงานในชุมชนด้วย ส่วนรัฐก็เก็บภาษีบุหรี่ได้น้อยลง ในขณะที่การปราบปรามบุหรี่เถื่อนซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุตสาหกรรมไม่เคยสาวไปถึงต้นตอของขบวนการได้  

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อไปว่า เรื่องสำคัญซึ่งมีผลต่อการกำหนดชีวิตของชาวไร่ยาสูบและผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานก็คือ กฎระเบียบและนโยบายต่างๆ ของไทยที่อนุวัติตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมส่วนประกอบ การตลาด บรรจุภัณฑ์ และภาษี ทั้งนี้ ผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกใบยาไม่ถูกพูดถึงเท่ากับผลกระทบต่อตลาดปลายน้ำ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุดจากอนุสัญญาฯ วันนี้ชาวไร่ยาสูบกำลังเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น กลายเป็นผู้รับภาระของนโยบายควบคุมยาสูบโดยตรง 

“มาตรา 17 และ 18 ของอนุสัญญาฯ ระบุว่า ประเทศภาคีควรส่งเสริมการหาทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการปลูกยาสูบ และคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเกษตรกร ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการที่มุ่งให้ชาวไร่ยาสูบเปลี่ยนไปปลูกพืชทางเลือกเพื่อทดแทนนั้นอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานใบยาสูบอย่างมีนัยยะสำคัญ ในขณะที่ประเทศไทยนั้นก็ยังขาดการส่งเสริมการปลูกพืชทางเลือกและอาชีพทดแทน แต่ชาวไร่ยาสูบก็ยังสู้ เพราะการทำไร่ยาสูบเป็นอาชีพสุจริตที่เลี้ยงชีพเรามาหลายชั่วอายุ วันนี้เราพยายามปรับตัว เรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง งานสัมมนาในวันนี้ก็คือรูปธรรมหนึ่งของความพยายาม” นายอัจฉริยะ กล่าว

ด้าน ดร.ทัตพร คุณประดิษฐ์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วิทยากรในการสัมมนาครั้งนี้ อธิบายว่า วันนี้เกษตรกรผู้ปลูกใบยาในภาพเหนือได้มารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้เรื่อง “การจัดการน้ำ ดิน และการติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นอกจากนี้ยังมีการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “การลดความเสื่อมโทรมของดิน การจัดการและใช้พื้นที่การเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ” และ “ผลกระทบจากมลพิษทางสารเคมีต่อวิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อมด้านดินและน้ำ” รวมทั้ง “การจัดการน้ำชุมชนเพื่อความยั่งยืนในการใช้น้ำในภาคการเกษตร และการอุปโภคและบริโภค” นับว่าเป็นความพยายามตอบโจทย์มาตรา 18 อนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ในด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเกษตรกร 

ดร.ทัตพร ยังกล่าวด้วยว่า เกษตรกรผู้ปลูกใบยานั้นมีองค์ความรู้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันโลกมีความท้าทายใหม่ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติ และมีคุณค่าที่มนุษย์ให้ความสำคัญมากขึ้น อาทิ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เพื่อปรับตัวของเกษตรกรจึงสำคัญอย่างยิ่ง งานสัมมนาในวันนี้เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากสถาบันการศึกษาไปสู่เกษตรกร ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันอีกด้วย นี่จะเป็นอีกหนึ่งก้าวที่นำไปสู่การทำเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไปในอนาคต

More From Author

ปทุมธานี จัดหนักกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงเทศกาลปลายปีในงาน Pathum Festival 2025 ยกขบวนสินค้าเกษตร สินค้านวัตกรรม และสินค้าคุณภาพกว่า 100 ร้านค้า พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้บริโภคคนเมือง

“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” เปิดเวทีการประกวด Miss Wellness World 2025  หวัง สร้างแบรนด์ไทยแลนด์กระหึ่มทั่วโลก   ชื่นชม “เจสซิก้า บรูเซลาส”สาวงามบราซิล คว้ามงฯ Miss Wellness World 2025 คนแรกของโลก “จอย กนกอร” คว้ารองอันดับ 2 

วช. สนับสนุนวิจัย “แผนที่นำทาง LIMEC” มุ่งใช้ประโยชน์พัฒนาระบบขนส่งที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย ตาก

ปทุมธานี จัดหนักกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงเทศกาลปลายปีในงาน Pathum Festival 2025 ยกขบวนสินค้าเกษตร สินค้านวัตกรรม และสินค้าคุณภาพกว่า 100 ร้านค้า พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้บริโภคคนเมือง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *