นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2565 ณ ห้องประชุมรัษฎา อาคาร 2 ชั้น 2 การยางแห่งประเทศไทย และผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meeting ว่าที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดยางรวมทั้งมุมมองและข้อเสนอแนะจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรของไทยทุกภูมิภาคทั่วโลกและรายงานของการยางแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาด และการส่งออกครึ่งปี2565 ยังครองตำแหน่งประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกด้วยปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ยาง 2,190,065 ตัน โดยเฉพาะจีนนำเข้ายางไทยเป็นอันดับหนึ่งครองมาร์เก็ตแชร์ถึง49%รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางโดยกยท.เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคายางซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อต้นทุนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ สถานการณ์เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยและภาวะตลาด ทำให้ราคาผันผวน จำเป็นต้องเพิ่มกลไกและมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติโดยเน้นการบูรณาการทำงานจากหลายภาคส่วนร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชากา ภาคภาคเกษตรกร สถาบันเกษตรกร

นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทยเป็นองค์กรความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วยแนวทางความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน(Partnership principal)เป็นการผนึกพลังให้แข็งแกร่งในฐานะประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับหนึ่งของโลกเป็นองค์กรในลักษณะเดียวกับแพลตฟอร์มเครือข่ายความร่วมมือFKIIของญี่ปุ่นซึ่งมีกว่า4,200องค์กรเป็นสมาชิกและมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยประสานกับสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรไทยในญี่ปุ่นเพื่อจัดทำโครงสร้างและระบบของแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทยเสนอในการประชุมคราวหน้า และจากการเสนอรายงานและข้อเสนอแนะของฑูตเกษตรทุกภูมิภาคทั่วโลกทำให้เห็นถึงช่องว่างตลาดใหม่ๆและนโยบายใหม่ของประเทศคู่ค้าจึงให้เพิ่มมาตรการใหม่อีก6มาตรการเชิงรุกได้แก่

1.มาตรการสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกเช่นการผลิตสื่อดิจิทอลเผยแพร่ในตลาดต่างประเทศ

2. มาตรการตลาดเชิงรุกเน้นความต้องการผลิตภัณฑ์ยางในรายตัวสินค้าและในรายประเทศคู่ค้า(product based &country based ) เช่นความต้องการยางจักรยานและยางรถบัสเพิ่มขึ้นในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปและผลิตภัณฑ์ยางที่อียูแบนสินค้าจากรัสเซียหรือผลิตภัณฑ์ยางที่รัสเซียระงับการนำเข้าจากอียูทำให้เกิดช่องว่างที่ไทยสามารถส่งออกไปทดแทนได้

3.มาตรการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเร่งดำเนินการก่อนประเทศคู่แข่งโดยใช้แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน สวนยางยั่งยืนและระบบตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) ตอบโจทย์เทรนท์ของตลาดเช่นประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)  FSCและDeforestation เป็นต้น

4.มาตรการระยะสั้นรายไตรมาสเพื่อการบริหารจัดการตามปฏิทินฤดูการผลิตประจำปีโดยมอบกยท. ภาคเอกชน และภาคเกษตรกรหารือกันเพื่อกำหนดมาตรการร่วมกัน

5.มาตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ยางมูลค่าสูงเน้นการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง สถาบันยางและผู้ประกอบการโดยให้กยท.ประสานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC)ซึ่งมีผลงานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ยางจำนวนมากเช่นวัสดุภัณฑ์ก่อสร้างบ้านและอาคาร ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ด้านคมนาคมขนส่ง 6.มาตรการเชิงกลไกการตลาดเช่น การแทรกแซงตลาด ซึ่งกยท.ได้ดำเนินการโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางโดยเข้าแทรกแซงตลาดเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงควรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเชิงกลไกตลาดเช่นการบริหารซัพพลายและดีมานด์ กลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง และระบบการประมูลยางออนไลน์เป็นระบบที่เปิดกว้างเพิ่มผู้ซื้อทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาการกำหนดราคาโดยผู้ซื้อน้อยรายหรือการฮั้วหรือการผูกขาด

 ขณะเดียวกันยังให้จัดฟอรั่มอัพเดทสถานการณ์ตลาดยางโลกทุก2เดือนโดยกยท.และสำนักงานเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรฯ.ไทยเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลรอบด้านที่ทันโลกทันเหตุการณ์ด้วยระบบออนไลน์คู่ขนานกับการประชุมของคณะกรรมการชุดนี้และยังมอบหมายให้สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตร ณ กรุงบรัสเซลส์ประสานกับกยท. สถาบันชาวสวนยางและภาคเอกชนไทยในการขับเคลื่อนรับมือการเคลื่อนไหวของอียูในประเด็นDeforestationรวมทั้งมอบหมายกยท.ให้รวบรวมข้อมูลของสภาการยางแห่งมาเลเซีย(MRC)และนโยบายการวิจัยยางของมาเลเซียส่งให้กับกรรมการทุกคนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบและนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไปด้วย

นายอลงกรณ์บอกด้วยว่า ในการประชุมครั้งนี้  ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญโดยมุมมองทูตเกษตร ประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก โดยทูตเกษตรจากสหภาพยุโรป (สำนักงานบรัสเซลส์) อิตาลี (สำนักงานกรุงโรม) สหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ (สำนักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และลอสแองเจลิส) ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อาเซียน (สำนักงานกรุงจาการ์ต้า) ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2565 จีนมีมูลค่าการนำเข้ายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์จากไทย มากเป็นอันดับหนึ่งซึ่งมีปริมาณการนำเข้ายางพาราจากไทย จำนวน 1,426,305 ตัน เพิ่มขึ้น 5.37 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากการวิเคราะห์สถานการณ์ เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี มีการกำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการเงินและการคลัง มีนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าช่วยหนุนการฟื้นตัวของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์  สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนอยู่ในทิศทางที่ดี

วิสาหกิจต่างเร่งฟื้นฟุการผลิต สต๊อกยางพาราธรรมชาติในแหล่งสำคัญอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การใช้ยางพาราธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นอิตาลีนำเข้าสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์จากไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจาก เยอรมันและเนเธอแลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 31,340  ล้านบาท ในขณะที่ทางสหภาพยุโรปกำลังเดินหน้ายุทธศาสตร์  EU Green Deal เน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น จึงเป็นความท้าทายที่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมรับมือกับนโยบายและมาตรการ European Green Dealรวมทั้ง ร่างกฎหมาย Deforestation free product ของ EU ที่ห้ามจำหน่ายสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทำลายป่า ทั้งสินค้าภายใน EU และสินค้านำเข้ามาจำหน่ายใน EU จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้า 6 ประเภท (เนื้อวัว  ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม โกโก้ ไม้ กาแฟ ) และมีแนวโน้มที่ยางพาราจะเข้าอยู่ในรายการสินค้าควบคุมในอนาคต

By admin

สนใจโฆษณาติดต่อ คุณจันทร์แรม โทร 0917233792

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข่าวเด่น